โดยปกติแมวที่จะมีอายุเฉลี่ยยาวนาน 15-17 ปี ซึ่งนั่นก็เป็นเวลานานมากแล้ว แต่ก็มีแมวหลายตัวที่มีอายุเกินกว่า 20 ปี หากได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม
เจ้าของแมวทุกคนมีส่วนสำคัญต่ออายุขัยของแมว เราต้องการให้แมวของเรามีชีวิตอยู่ตราบเท่าที่เราทำได้ เราอยากให้พวกเขามีความสุข สุขภาพแข็งแรง
แน่นอนว่าแมวไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป แต่เราสามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด ซึ่ง 7 วิธีนี้จะช่วยให้แมวของคุณมีอายุยืนยาว
1. เลือกอาหารที่มีคุณภาพ
- จะเป็นการดีมากหากคุณสามารถให้อาหารแมวที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้แมวของคุณมีอายุยืนยาวขึ้นเช่นเดียวกับมนุษย์ อาหารแมวแปรรูป เช่น อาหารเม็ด อาหารกระป๋องและขนมต่างๆ เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม ผ่านความร้อน และมีการเติมแต่งสารเคมี รส กลิ่น สี และสารกันบูด ซึ่งทำให้แมวไม่ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนการสูงสุด และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของแมวในระยะยาว
2. พาน้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสัตว์เลี้ยงและช่วยให้แมวทุกตัวมีอายุยืนยาว ช่วยต่อสู้กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและโรคอ้วน ช่วยป้องกันภาวะที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแมวของคุณอย่างรุนแรง เช่น โรคข้ออักเสบ โรคกระดูกและข้อต่อ ดังนั้นการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ทำให้แมวของคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยเมื่อมีอายุสูงขึ้น เล่นกับแมวของคุณบ่อยๆ หรือทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้พวกเขากระฉับกระเฉง ยิ่งแมวของคุณขยับตัวมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งมีอายุยืนยาวขึ้นเท่านั้น
3. ฉีดวัคซีนและพบสัตวแพทย์ตามนัด
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแมวของคุณได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วน ซึ่งสามารถให้วัคซีนครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุ 6-8 สัปดาห์ขึ้นไป(ส่วนใหญ่เริ่มที่ 8 สัปดาห์) วัคซีนหลักที่แมวทุกตัวต้องได้ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรงและโรคเหล่านี้มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ได้แก่ 1. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (rabies) 2. วัคซีนเชื้อไวรัสไข้หัดแมว (Feline Parvovirus: FPV) 3. วัคซีนเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัส-1 (Feline Herpesvirus: FHV-1) 4. วัคซีนเชื้อแคลิซิไวรัสแมว (Feline Calicivirus: FCV) และควรได้รับการฉีดกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
4. เลี้ยงน้องในระบบปิดและรักษาความสะอาด
- การดูแลแมวของคุณในบ้านเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งในการช่วยให้แมวมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข เพราะแทบจะไม่มีโอกาสที่จะสัมผัสกับสารพิษ เชื้อโรคต่างๆ ลดการเกิดอุบัติเหตุและการทะเลาะวิวาทกับแมวตัวอื่นๆ ที่ไม่รู้จัก คนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่าการเลี้ยงในระบบปิดเป็นการทารุณกรรมสัตว์ แต่ความจริงแล้วแมวชอบอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว มีอาณาเขตของตัวเอง รักความสงบ รักความสะอาด และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน
5. มีของเล่นช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต
- การเล่นแบบโต้ตอบช่วยให้แมวได้มีสัญชาตญาณตามธรรมชาติของพวกเขา นอกจากจะช่วยให้ลดโอกาสการเป็นโรคอ้วนแล้ว การออกกำลังกายและการเล่นของเล่นยังสามารถลดความเครียด ส่งผลให้แมวมีความสุขและมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย ควรให้แมวมีพื้นที่ในการปืนป่ายและมีเสาลับเล็บสำหรับข่วนทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ควรให้มีมุมให้มองผ่านประตูกระจกเพื่อให้แมวสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติด้านนอกบ้าน
6. สังเกตุอาการเจ็บป่วยอยู่เสมอ
- แมวเป็นสัตว์ที่มีความอดทนต่อความเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ไม่ค่อยแสดงอาการให้เจ้าของเห็นได้ง่ายนัก เจ้าของควรสังเกตุหากแมวมีอาการดังต่อไปนี้ ให้สันนิษฐานว่ามีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น คือ มีกลิ่นปาก ขับถ่ายผิดปกติ มีน้ำมูกและขี้ตา มีอาการซึมเศร้า หายใจเร็ว อาเจียน และไม่ยอมกินข้าว หากคุณสงสัยว่าแมวมีอาการเจ็บป่วย อย่านิ่งนอนใจ ให้รีบนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อที่จะได้รับการรักษาอย่างทันถ่วงที
7. มีน้ำสะอาดให้ตลอดเวลา
- แมวต้องการน้ำสะอาดตลอดเวลา โดยธรรมชาติของแมวจะเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยกินน้ำจากถ้วย เพราะส่วนใหญ่จะได้รับน้ำจากอาหารตามธรรมชาติที่ล่าได้ ซึ่งมีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 70% ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเมื่อแมวกินอาหารสดดิบ (BARF) จะทำให้แมวกินน้ำน้อยลงเป็นเรื่องปกติเพราะว่าร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอแล้ว แต่หากแมวของคุณกินอาหารเม็ดแล้วไม่ค่อยกินน้ำ อันนี้ถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะว่าอาหารสำเร็จรูปแบบเม็ดนั้นจะมีปริมาณน้ำอยู่ประมาณแค่ 10% เท่านั้น การขาดน้ำต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนั้น ก็จะส่งผลเสียต่อแมวมากมาย เช่น เบื่ออาหาร เหงือกแห้ง โรคนิ่ว หัวใจ ฯลฯ